จุดเด่นผลิตภัณฑ์
- รูปแบบเลนส์ F-Mount / FX
- ช่วงรูรับแสง: f/4 ถึง f/32
- องค์ประกอบชิ้นเลนส์พิเศษ 1PF ชิ้นเลนส์พิเศษ 1ED
- เคลือบผิวเลนส์นาโนคริสตัลและการเคลือบแบบ Super Integrated
- เลนส์ด้านหน้าเคลือบฟลูออรีน
- ระบบออโต้โฟกัส Silent Wave Motor
- ลดการสั่นสะเทือน,สปอร์ต / โหมดขาตั้งกล้อง
- กลไกไดอะแฟรมไฟฟ้า
- ไดอะแฟรมทรงกลม 9 ใบ
Nikon AF-S NIKKOR 300mm f/4E PF ED VR ผสานเทคโนโลยีสุดล้ำด้านออพติคเข้ากับดีไซน์ที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้คุณได้สัมผัสกับประสิทธิภาพที่ยากจะหาใครเทียบจากเลนส์ออโตโฟกัส (AF) ระยะ 300 มม. ที่เบาที่สุดในโลก*1 เลนส์เทเลโฟโต้ตัวนี้มีส่วนประกอบของชิ้นเลนส์ Phase Fresnel (PF)*2ที่เป็นลิขสิทธิ์ของ Nikon จึงทำให้ภาพของคุณมีความคมชัดเหนือชั้นไปอีกขั้น และแทบไม่มีความคลาดเคลื่อนของสีที่เกิดจากแสงโกสต์ และเมื่อใส่เลนส์เข้ากับกล้อง DSLR รูปแบบ FX คุณก็จะได้ใช้ประโยชน์จากคุณภาพออพติคระดับมืออาชีพอย่างเต็มที่ และเก็บภาพที่สวยสุดยอดได้ง่ายๆ
ภาพคมชัดสดใสในทุกสถานการณ์
Nikon AF-S NIKKOR 300mm f/4E PF ED VR มีรูรับแสงกว้างสุดที่ f/4 จึงสามารถสร้างสรรค์ภาพที่มีโบเก้สวยๆ และถ่ายภาพออกมาได้อย่างสวยงามแม้จะมีแสงน้อย นอกจากนี้ ยังสามารถควบคุมค่าแสงอัตโนมัติได้ดีกว่าเดิม ด้วยกลไกของไดอะแฟรมที่เป็นแบบแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้ค่าแสงมีความสม่ำเสมอเมื่อต้องถ่ายภาพด้วยความเร็วสูง ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถถ่ายภาพช่วงเวลาตื่นเต้นระทึกใจได้ง่ายกว่าเดิมด้วยระบบลดภาพสั่นไหว (VR) ที่ช่วยลดอาการสั่นไหวและทำให้คุณไม่ต้องใช้ขาตั้ง โดยให้ผลเทียบเท่าความไวชัตเตอร์ 4 สต็อป (ในโหมด NORMAL*3) และเมื่อต้องถ่ายภาพสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วและคาดเดายาก เช่น นักกีฬา ก็สามารถสลับโหมด VR เป็น SPORT เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจในขณะถ่ายภาพ
พลังแห่ง Phase Fresnel ในเลนส์ 300 มม. ที่ปฏิวัติวงการ
ดีไซน์อันล้ำสมัยของ Nikon AF-S NIKKOR 300mm f/4E PF ED VR ทำให้กระบอกเลนส์มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา คุณจึงสามารถพกพาติดตัวไปได้ทุกที่ ชิ้นเลนส์ Phase Fresnel (PF)*2 กระจกที่กระจายแสงต่ำเป็นพิเศษ (ED) และโค้ทผิวแบบนาโนคริสตัลทำงานร่วมกันเป็นหนึ่ง เพื่อให้คุณเสียเวลาปรับแต่งภาพหลังจากถ่ายน้อยลง และมีเวลาในการถ่ายภาพคมๆ ที่แทบไม่มีความคลาดเคลื่อนของสีหรือแสงโกสต์เลยอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังมีโค้ทผิวแบบฟลูออรีนที่ช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่น หยดน้ำ คราบมัน และสิ่งสกปรกมาเกาะ จึงสามารถนำไปใช้ถ่ายภาพได้ในทุกสภาพแวดล้อม และเลนส์นี้ยังมีเสียงรบกวนน้อยมากในขณะถ่าย เพราะมีมอเตอร์ไซเลนท์เวฟ (SWM) ที่คอยขับเคลื่อนชิ้นเลนส์เพื่อให้สามารถออโตโฟกัสด้วยความเร็วสูงได้อย่างแม่นยำและเงียบสุดๆ
โครงสร้างเลนส์
MTF CURVE
*1 เมื่อเทียบกับเลนส์ AF แบบทางยาวโฟกัสคงที่ (ไพรม์) ระยะ 300 มม. ตัวอื่นๆ ที่ใช้กับกล้อง “Full-size” แบบ 35 มม. ได้ ณ วันที่ 6 มกราคม 2015 โดยคำกล่าวนี้อ้างอิงจากการวิจัยของ Nikon
*2 เลนส์ PF ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Nikon สามารถชดเชยความคลาดเคลื่อนของสีได้เป็นอย่างดีโดยอาศัยปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Photo Diffraction หรือการเลี้ยวเบนของแสง* โดยเลนส์ชนิดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการชดเชยความคลาดเคลื่อนของสีเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์กระจกแบบปกติ ปรากฏการณ์การเลี้ยวเบนอธิบายว่าแสงมีลักษณะเป็นคลื่น ซึ่งเมื่อกระทบกับสิ่งกีดขวางก็จะพยายามเลี้ยวอ้อมไปทางด้านหลัง และเราเรียกลักษณะเฉพาะนี้ว่า Diffraction หรือการเลี้ยวเบน โดยการเลี้ยวเบนนั้นทำให้เกิดการกระจัดกระจายของสีในกระบวนการหักเหแสงแบบย้อนกลับ และเนื่องจากคุณลักษณะของเลนส์ PF (Phase Fresnel) คือการใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์การเลี้ยวเบนของแสง ดังนั้นเมื่อมีแหล่งกำเนิดแสงสว่างจ้าอยู่ในเฟรม หรือเมื่อมีแสงจากนอกเฟรมผ่านเข้ามาในเลนส์ จึงอาจทำให้เกิดแสงแฟลร์สีต่างๆ เป็นรูปวงแหวนได้ตามสภาพการถ่ายภาพ อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดปรากฏการณ์นี้ได้ด้วย “PF Flare Control” ซึ่งมีอยู่ใน Capture NX-D (เวอร์ชัน 1.1.0 หรือใหม่กว่า)
*3 วัดตามมาตรฐาน CIPA ในโหมด NORMAL โดยใช้กล้องดิจิตอล SLR รูปแบบ FX
เลนส์เทเลโฟโต้ทางยาวโฟกัสคงที่ 300 มม.* รูรับแสงกว้างสุด f/4 ที่สามารถใช้งานกับกล้องรูปแบบ FX ได้
เลนส์เทเลโฟโต้ตัวนี้มาพร้อมดีไซน์ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และออพติคที่มีประสิทธิภาพสูง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพหลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพกีฬา สัตว์ป่า ทิวทัศน์ ภาพบุคคล และอีกมากมาย
*เมื่อใส่เลนส์นี้เข้ากับกล้อง SLR รูปแบบ DX มุมมองภาพจะเทียบเท่ากับเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัส 450 มม. ในรูปแบบ FX/35 มม.
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการใช้เทเลคอนเวอร์เตอร์
เทเลคอนเวอร์เตอร์ต่อไปนี้รองรับการใช้งานร่วมกับเลนส์นี้:
เทเลคอนเวอร์เตอร์ AF-S TC-14E III/TC-17E II*/TC-20E III*
* ออโตโฟกัสได้เฉพาะในโหมด AF ทีละภาพ (AF-S) และเมื่อใส่เลนส์กับกล้องที่รองรับ f/8 เท่านั้น
เลนส์ PF (Phase Fresnel) เพื่อขนาดที่กะทัดรัดและน้ำหนักเบา
นี่คือเลนส์ NIKKOR ตัวแรกที่ใช้ชิ้นเลนส์ PF (Phase Fresnel) จึงทำให้เลนส์มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบาอย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อเทียบกับ Nikon AF-S NIKKOR 300mm f/4D IF-ED รุ่นปัจจุบันแล้ว เลนส์ตัวนี้มีน้ำหนักลดลงประมาณ 545 กรัม ความยาวลดลงประมาณ 75 มม. และเส้นผ่านศูนย์กลางลดลงประมาณ 1 มม.
ระบบลดภาพสั่นไหว (VR) ที่ให้ผลเทียบเท่าความไว้ชัตเตอร์ 4.5 สต็อป
ลดความพร่ามัวของภาพที่เกิดจากอาการกล้องสั่นได้เป็นอย่างดีด้วยระบบลดภาพสั่นไหว (VR) ในตัวที่ให้ผลเทียบเท่าความไวชัตเตอร์ 4.5 สต็อป (ในโหมด NORMAL ตามมาตรฐาน CIPA*) และมีโหมด SPORT เหมือนกับที่มีในเลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 400 มม. f/2.8E FL ED VR โดยโหมดนี้เหมาะสำหรับการถ่ายภาพกีฬา เช่น เมื่อสิ่งที่ต้องการถ่ายเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
* เมื่อใส่กับกล้องดิจิตอล SLR รูปแบบ FX
ออพติคประสิทธิภาพสูง
เลนส์นี้มีการใช้ทั้งชิ้นเลนส์ PF (Phase Fresnel) และกระจก ED รวมถึงโค้ทผิวแบบนาโนคริสตัล จึงมีประสิทธิภาพด้านออพติคเหนือกว่า ซึ่งจะเห็นได้จากการเกิดความคลาดเคลื่อนของสีและแสงโกสต์ที่น้อยมาก
ถ่ายทอดอารมณ์ศิลปินได้อย่างที่ใจต้องการด้วยรูรับแสงกว้างสุดที่ f/4
ถ่ายภาพที่มีฉากหลังเบลออย่างสวยงามอย่างที่เลนส์ซูมไม่สามารถทำได้ และยังสามารถประยุกต์ใช้กับการถ่ายภาพได้หลายรูปแบบ รวมถึงในตอนที่มีแสงน้อย เช่น เช้าตรู่หรือพลบค่ำ อีกทั้งยังสามารถเก็บภาพที่มีคุณภาพสูงได้แม้จะอยู่ในอาคารที่แทบไม่มีแสงสว่าง
กลไกไดอะแฟรมระบบแม่เหล็กไฟฟ้า
ในกระบอกเลนส์มีชุดไดอะแฟรมพร้อมกลไกขับเคลื่อนติดตั้งอยู่ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมการทำงานของไดอะแฟรมผ่านสัญญาณไฟฟ้าจากตัวกล้องได้ จึงมั่นใจได้ว่าการควบคุมค่าแสงอัตโนมัติจะมีความเสถียรแม้ในขณะถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง
โค้ทผิวแบบฟลูออรีนบนชิ้นเลนส์ด้านหน้า
ป้องกันการเกาะตัวของฝุ่น หยดน้ำ คราบมัน หรือคราบสกปรกบนผิวเลนส์ได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลเกี่ยวกับเลนส์ PF (Phase Fresnel)
เลนส์ PF (Phase Fresnel) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Nikon สามารถชดเชยความคลาดเคลื่อนของสีได้เป็นอย่างดีโดยอาศัยปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Photo Diffraction หรือการเลี้ยวเบนของแสง* โดยเลนส์ชนิดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการชดเชยความคลาดเคลื่อนของสีเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์กระจกแบบปกติ และเมื่อเทียบกับเลนส์กล้องทั่วไปที่ใช้ระบบออพติคที่อาศัยปรากฏการณ์การหักเหแสงแล้ว เลนส์นี้ยังมีขนาดที่กะทัดรัดและน้ำหนักเบากว่ามาก เนื่องจากมีจำนวนชิ้นเลนส์น้อยกว่า เลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้ทั่วไปสร้างภาพลงบนระนาบของการเกิดภาพโดยใช้ปรากฏการณ์การหักเหแสง ระดับการหักเหของแสงแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสี (ความยาวคลื่น) และกระบวนการสร้างภาพนั้นจะทำเรียงตามลำดับโดยเริ่มจากสีน้ำเงิน (B) ตามด้วยสีเขียว (G) และสีแดง (R) และเริ่มจากส่วนที่ใกล้เลนส์ก่อน (ดูภาพประกอบด้านล่าง) การเบี่ยงเบนของสี หรือที่เรียกว่า Chromatic Aberration (ความคลาดเคลื่อนของสี) นั้นทำให้เกิดอาการสีรั่ว และส่งผลให้ภาพที่มองเห็นหรือบันทึกไว้มีคุณภาพต่ำลง แต่สำหรับเลนส์ PF (Phase Fresnel) แล้ว กระบวนการสร้างภาพนั้ินจะเริ่มจากสีแดง (R) ตามด้วยสีเขียว (G) และสีน้ำเงิน (B) โดยเริ่มจากส่วนที่ใกล้กับเลนส์ก่อน (ดูภาพประกอบด้านล่าง) และเมื่อใช้เลนส์ PF (Phase Fresnel) ร่วมกับเลนส์แบบหักเหแสง ก็สามารถชดเชยความคลาดเคลื่อนของสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* ปรากฏการณ์การเลี้ยวเบน: แสงมีลักษณะเป็นคลื่น ซึ่งเมื่อกระทบกับสิ่งกีดขวางก็จะพยายามเลี้ยวอ้อมไปทางด้านหลัง และเราเรียกลักษณะเฉพาะนี้ว่า Diffraction หรือการเลี้ยวเบน โดยการเลี้ยวเบนนั้นทำให้เกิดการกระจัดกระจายของสีในกระบวนการหักเหแสงแบบย้อนกลับ
ภาพตัวอย่างแสดงรูปลักษณ์ของเลนส์ PF (Phase Fresnel)
PF Flare Control ซึ่งมีอยู่ใน Capture NX-D
ภาพต้นฉบับ
ภาพที่ใส่ PF Flare Control
ที่มา : www.nikon.co.th , www.nikonusa.com
Reviews
There are no reviews yet.